การขออนุญาตใช้คุกกี้

วันพฤหัสบดีที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2562

ศธ. ร่วม สพฐ. แจ้งสถานศึกษาให้ความรู้แก่นักเรียนเรื่องอันตรายของบุหรี่ไฟฟ้า


นายสนิท แย้มเกษร รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้ทำหนังสือแจ้งสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาและสถานศึกษา ขอความร่วมมือในการให้ความรู้แก่นักเรียน นักศึกษา เกี่ยวกับอันตรายของบุหรี่ไฟฟ้า สืบเนื่องจาก กระทรวงศึกษาธิการ ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในการป้องกันไม่ให้นักเรียน นักศึกษา เข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด ตามการดำเนินงานควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบของประเทศไทย ภายใต้แผนยุทธศาสตร์การควบคุมยาสูบแห่งชาติ สพฐ. จึงขอให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาและสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ แจ้งสถานศึกษาในสังกัดให้ความรู้แก่นักเรียน นักศึกษา เกี่ยวกับอันตรายของบุหรี่ไฟฟ้า และประชาสัมพันธ์การรู้เท่าทันนวัตกรรมใหม่ของยาสูบด้านโทษและพิษภัยของบุหรี่ต่อร่างกายและสิ่งแวดล้อม

ทั้งนี้ จากเอกสารของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่าประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกล้วนให้ความสำคัญเพิ่มมากขึ้นกับการบริโภคยาสูบ เนื่องจากยาสูบเป็นสาเหตุของปัญหาสุขภาพร้ายแรงที่สามารถป้องกันได้ ซึ่งจากรายงานขององค์การอนามัยโลก พบว่ามีผู้เสียชีวิตเนื่องจากการบริโภคยาสูบหรือ การได้รับควันบุหรี่สูงถึง 6 ล้านคนต่อปี และคาดการณ์ไว้ว่าหากประเทศต่าง ๆ ไม่ร่วมมือกันอย่างจริงจังในการป้องกันและควบคุมการบริโภคยาสูบ จะมีผู้เสียชีวิตเพิ่มเป็น 8 ล้านคนต่อปี ในปี พ.ศ. 2573 ดังนั้น องค์การอนามัยโลกจึงจัดให้การบริโภคยาสูบเป็นปัญหาที่สำคัญอันดับต้น ๆ ที่ทุกประเทศต้องร่วมมือกันแก้ไขอย่างเร่งด่วน เช่นเดียวกับแผนยุทธศาสตร์การควบคุมยาสูบแห่งชาติ ฉบับที่สอง พ.ศ. 2559-2562 ที่ “มุ่งสู่สังคมไทยปลอดบุหรี่”

สพฐ. ร่วมแถลงข่าว อียู-ยูนิเซฟ ออกรายงานล่าสุด เพื่อลดอุปสรรคทางการศึกษาของเด็กข้ามชาติในประเทศไทย

วันที่ 19 ธันวาคม 2562 นางวัฒนาพร ระงับทุกข์ รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (รองเลขาธิการ กพฐ.) พร้อมด้วยผู้แทนองค์การยูนิเซฟประเทศไทย และผู้แทนองค์การสหประชาชาติ ร่วมแถลงข่าวเปิดตัวรายงานความท้าทายในการจัดการศึกษาแก่เด็กข้ามชาติ “ไร้เส้นกั้นการศึกษา แนวปฏิบัติที่ดีและการถอดบทเรียนจากการจัดการศึกษาสำหรับเด็กข้ามชาติในประเทศไทย” เพื่อนำเสนอกรณีศึกษาและแนวปฏิบัติที่มีประสิทธิภาพจากโรงเรียนต่าง ๆ ทั่วประเทศในการจัดการศึกษาสำหรับเด็กข้ามชาติ ณ ห้องประชุม อาคาร สพฐ. 4 ชั้น 2 กระทรวงศึกษาธิการ

เนื่องจากองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย และสหภาพยุโรป ได้ออกรายงานฉบับล่าสุดที่มีชื่อว่า “ไร้เส้นกั้นการศึกษา: แนวปฏิบัติที่ดีและการถอดบทเรียนจากการจัดการศึกษาสำหรับเด็กข้ามชาติในประเทศไทย” เพื่อนำเสนอกรณีศึกษาและแนวปฏิบัติที่มีประสิทธิภาพจากโรงเรียนต่าง ๆ ทั่วประเทศในการจัดการศึกษาสำหรับเด็กข้ามชาติ โดยรายงานฉบับนี้รวบรวมกรณีศึกษาของการจัดการศึกษาแก่เด็กข้ามชาติใน 6 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร เชียงใหม่ ระนอง สมุทรสาคร ตาก และตราด ซึ่งแต่ละกรณีศึกษาชี้ให้เห็นถึงความซับซ้อนหลากหลายรูปแบบของการจัดการศึกษาของเด็กข้ามชาติในประเทศไทย อีกทั้งยังชี้ให้เห็นว่าการจัดการศึกษาแก่เด็กข้ามชาติที่จะประสบความสำเร็จได้นั้น ต้องอาศัยความมุ่งมั่นอย่างแท้จริงจากครูผู้สอน ผู้อำนวยการโรงเรียน เจ้าหน้าที่การศึกษา และภาคประชาสังคม

รายงานฉบับนี้ ชี้ให้เห็นว่า ปัจจุบันโรงเรียนหลายแห่งในประเทศไทยประสบความสำเร็จในการจัดการศึกษาอย่างทั่วถึงแก่เด็กทุกคนไม่ว่าจะเป็นเด็กไทยหรือเด็กข้ามชาติ ซึ่งกรณีศึกษาต่าง ๆ ชี้ให้เห็นถึงองค์ประกอบของความสำเร็จ 5 ประการ ประกอบด้วย 1) การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการวางแผนและการนำนโยบายไปปฏิบัติ 2) การมีผู้นำที่เข้มแข็งมีแรงจูงใจและมีความสามารถในการสนับสนุนเด็กข้ามชาติ 3) การใช้กลยุทธ์การเรียนการสอนที่มีประสิทธิผล 4) การปรับปรุงการจัดการศึกษาให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียน และ 5) การมีส่วนร่วมของชุมชนและพ่อแม่/ผู้ปกครองของเด็กข้ามชาติ โดยปัจจุบัน มีเด็กข้ามชาติในประเทศไทยราว 150,000 คน ที่กำลังเรียนอยู่ในโรงเรียนของรัฐ อันเป็นผลมาจากกฎหมายและนโยบายที่ก้าวหน้าของประเทศไทย เช่น พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติปี 2542 และมติคณะรัฐมนตรีปี 2548 เกี่ยวกับการจัดการศึกษาแก่บุคคลที่ไม่มีหลักฐานทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทย ที่กำหนดให้เด็กทุกคนได้เรียนฟรี 15 ปี ไม่ว่าจะมีสัญชาติหรือสถานะอะไร หรือแม้จะไม่มีเอกสารใด ๆ เลยก็ตาม

นอกจากนี้ รายงานฉบับนี้ยังให้ข้อเสนอแนะเพื่อสนับสนุนการทำงานแก่กระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานการศึกษาระดับท้องถิ่น ตลอดจนโรงเรียนต่าง ๆ ทั่วประเทศ เพื่อช่วยลดอุปสรรคและจัดการศึกษาที่มีคุณภาพได้ พร้อมเน้นย้ำว่าการจัดการศึกษาแก่เด็กข้ามชาติยังเป็นการช่วยบ่มเพาะแรงงานข้ามชาติรุ่นใหม่ให้อ่านเขียนได้ มีทักษะ และมีการศึกษา ซึ่งจะสามารถสร้างประโยชน์แก่ระบบเศรษฐกิจไทยได้มากขึ้นในอนาคต นอกจากนี้ การจัดการศึกษาให้แก่เด็กข้ามชาติ ยังถือเป็นส่วนสำคัญของการแก้ปัญหาด้านการเข้าถึงการศึกษาของเด็กขาดโอกาสทั่วประเทศอีกด้วย

นางวัฒนาพร ระงับทุกข์ รองเลขาธิการ กพฐ. กล่าวว่า “ไม่ว่าจะเป็นเด็กไทยหรือเด็กชาติไหนก็ตาม หากได้เข้ามาอยู่ในประเทศไทยแล้ว จะได้รับโอกาสทางการศึกษาตามกฎหมาย การจัดการศึกษาที่มีคุณภาพให้เด็กทุกคนเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนของสหประชาชาติ ด้านการศึกษา และการที่มีเด็กที่มีความแตกต่างและหลากหลายในระบบการศึกษา ถือเป็นโอกาสสำคัญที่เด็กจะได้เรียนรู้การอยู่ร่วมกันอย่างเอื้ออาทร สันติ และสมานฉันท์ ทั้งยังเป็นภารกิจหนึ่งที่สำคัญของกระทรวงศึกษาธิการและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษา”

ทางด้าน ดร.จูเซปเป บูซีนี รองหัวหน้าคณะผู้แทนสหภาพยุโรป (อียู) ประจำประเทศไทย กล่าวว่า “การอพยพย้ายถิ่นของเด็กเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก เด็กเหล่านี้ต้องย้ายถิ่นออกจากถิ่นกำเนิด เนื่องจากปัจจัยหลายอย่าง เช่น สงครามความขัดแย้ง ความยากจน และภัยพิบัติทางธรรมชาติ ทั้งยังต้องเสี่ยงกับการตกเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ แรงงานเด็ก และการถูกล่วงละเมิดทางเพศ นอกจากนั้น เด็กเหล่านี้ยังเข้าถึงการศึกษาได้อย่างจำกัด ซึ่งการศึกษาคือปัจจัยสำคัญในการปกป้องพวกเขาให้รอดพ้นจากภัยคุกคามเหล่านี้ ดังนั้น การปกป้องและคุ้มครองสิทธิของเด็กข้ามชาติเป็นเรื่องที่สหภาพยุโรปให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าเด็กข้ามชาติจะอยู่ในสถานะใด เด็กเหล่านี้ต้องได้รับสิทธิเท่าเทียมกับเด็กอื่นๆ เพื่อให้มั่นใจว่า เราจะไม่ทิ้งเด็กคนใดไว้ข้างหลัง ซึ่งการลงทุนด้านการศึกษาให้กับเด็กข้ามชาตินั้นจะให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่ากลับคืนมา ไม่เพียงแต่เด็กข้ามชาติเท่านั้นที่จะได้รับประโยชน์ แต่ชุมชนและประเทศที่รองรับเด็กเหล่านี้ก็จะได้รับประโยชน์ด้วยเช่นกัน”

ขณะที่ นายปีเตอร์ โฟร์เบล รักษาการผู้แทนองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย กล่าวว่า “รายงานฉบับนี้ออกมาในเวลาใกล้เคียงกับการครบรอบ 30 ปีของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก และการมุ่งมั่นของรัฐบาลไทยในการพิทักษ์สิทธิของประชากรกลุ่มข้ามชาติโดยเฉพาะเด็กและผู้หญิง ตามที่ได้ให้คำมั่นไว้ในการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนครั้งที่ 35 เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ยูนิเซฟขอชื่นชมในความมุ่งมั่นของทุกฝ่ายที่ได้จัดการศึกษาแก่เด็กข้ามชาติ และเราพร้อมจะแบ่งปันบทเรียนจากประสบการณ์ที่ผ่านมาให้กับทุกโรงเรียน เพื่อที่จะได้ไปพัฒนาองค์ความรู้และเครื่องมือในการยกระดับคุณภาพทางการศึกษาให้แก่เด็กทุกคน ไม่ว่าพวกเขาจะมีพื้นฐานหรือสถานะใดก็ตาม”







วันอังคารที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2562

สพฐ. ประกาศรายชื่อสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาที่จัดกิจกรรมลูกเสือดีเด่น และระดับดี ประจำปี 2562


นายอำนาจ วิชยานุวัติ เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (เลขาธิการ กพฐ.) เปิดเผยว่า สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้คัดเลือกสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาที่จัดกิจกรรมลูกเสือดีเด่น ประจําปีงบประมาณ 2562 จากสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) และสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา (สพม.)

โดยแบ่งเป็นสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาที่จัดกิจกรรมลูกเสือดีเด่น จํานวน 10 เขต ได้แก่ สพป.พิจิตร เขต 1 สพป.เพชรบูรณ์ เขต 2 สพม.เขต 22 (นครพนม - มุกดาหาร) สพป.ชัยภูมิ เขต 1 สพป.สุโขทัย เขต 2 สพป.ยโสธร เขต 1 สพป.นครนายก สพม.เขต 25 (ขอนแก่น) สพป.พิษณุโลก เขต 3 และสพป.สิงห์บุรี

และสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาที่จัดกิจกรรมลูกเสือระดับดี จํานวน 14 เขต ได้แก่ สพป.จันทบุรี เขต 2 สพป.ชุมพร เขต 1 สพป.นครศรีธรรมราช เขต 2 สพป.พระนครศรีอยุธยา เขต 2 สพป.บุรีรัมย์ เขต 1 สพป.นครศรีธรรมราช เขต 4 สพป.ระนอง สพม.เขต 36 (เชียงราย - พะเยา) สพป.อุบลราชธานี เขต 3 สพป.กําแพงเพชร เขต 2 สพป.เชียงราย เขต 2 สพป.หนองบัวลําภู เขต 2 สพป.เชียงราย เขต 1 และสพป.ชลบุรี เขต 2

ทั้งนี้ สพฐ. จะจัดพิธีมอบโล่เชิดชูเกียรติให้แก่สํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาที่จัดกิจกรรมลูกเสือดีเด่น และระดับดี เพื่อยกย่องเชิดชูเกียรติสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาที่ตั้งใจพัฒนางานลูกเสือจนเป็นที่ประจักษ์ ตลอดจนเป็นขวัญกําลังใจ และให้เกียรติแก่ผู้บริหารสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษา ข้าราชการในสังกัด ครู อาจารย์ และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องที่ช่วยกันส่งเสริมสนับสนุน กิจการลูกเสือให้เจริญก้าวหน้า ในวันประชุมผู้อํานวยการสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาทั่วประเทศ โดยขอความร่วมมือสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาที่ได้รับรางวัล แต่งกายโดยเครื่องแบบลูกเสือ ในการขึ้นรับโล่เชิดชูเกียรติ ต่อไป

รองศาสตราจารย์ นพ.จิรุตม์ ศรีรัตนบัลล์ ฟันธง!


“การดำเนินการพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาไม่ใช่การทดลอง และคนที่อยู่ในกระบวนการไม่ใช่หนูทดลอง แต่พื้นที่นวัตกรรมการศึกษาคือ National Action Research ที่ทุกฝ่ายต้องร่วมขับเคลื่อนไปสู่การเปลี่ยนแปลงการศึกษาของประเทศ“
พร้อมทั้งกล่าวถึงการจัดการพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาในมุมมองของพระราชบัญญัติพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา พ.ศ. 2562 ในที่ประชุมกรรมาธิการการศึกษา วุฒิสภา เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2562 ณ อาคารสุขประพฤติ กรุงเทพฯ ดำเนินการถอดเทปโดยสถาบันอาศรมศิลป์ ซึ่งสำนักงานบริหารพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา สพฐ. ได้ขออนุญาต ดร.วรนิษฐ์ วรพรธัญพัฒน์ นักวิจัยสถาบันอาศรมศิลป์ นำเอกสารถอดเทปนี้มาเผยแพร่  ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

https://www.edusandbox.com/nationalactionresearch/

วันศุกร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2562

สพฐ. ร่วมงานเปิดปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ปี 2563


วันที่ 13 ธันวาคม 2562 (เวลา 13.30 น.) นายธีร์ ภวังคนันท์ ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบเครือข่ายและการมีส่วนร่วม เป็นผู้แทน เลขาธิการ กพฐ. เข้าร่วมงานการเปิดปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ปี 2563 ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล โดยมีนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการเปิดปฏิบัติการฯ พร้อมด้วย นายณัฐดนัย หมั่นกิจ สำนักอำนวยการ นายกิตติวัฒน์ มานะยิ่ง และนางสาวประภาพร บุนนาค เจ้าหน้าที่ ฉก.ชน.

ภาพ / ข่าว : นายกิตติวัฒน์ มานะยิ่ง และนางสาวประภาพร บุนนาค เจ้าหน้าที่ ฉก.ชน.
















สพฐ. จับมือ 62 ผอ.สพม. สร้างความเข้มแข็งพี่เลี้ยง ยกระดับมาตรฐานการศึกษา เตรียมพร้อมผู้เรียนสู่การประเมินนานาชาติ

                                    ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (เลขาธิการ กพฐ.) เป็นประธานในการประชุ...